ปัจจุบันมีการใช้คลอรีนในการฆ่าเชื้อโรค เชื้อจุลินทรีย์ และในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสระว่ายน้ำ เพราะนอกจากมีผลในการฆ่าเชื้อแล้ว ยังทำให้น้ำดูใสเป็นผลข้างเคียงอีกด้วย ทั้งนี้ปริมาณคลอรีนในสระว่ายน้ำในระดับที่ปลอดภัย คือ 0.5 – 1.5 ppm ซึ่งคลอรีนจะสลายตัวได้เอง โดยแสงแดด หรือ การกำจัดเชื้อโรค แต่ในบางพื้นที่ ผู้ดูแลสระ ได้ใส่คลอรีนในปริมาณเกินมาตรฐาน ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค เกิดการสะสมสารพิษในร่างกาย เช่น ตา จมูก ผิวหนัง เมื่อสัมผัสถูกคลอรีน จะเกิดการอักเสบ บวม พอง ถ้าสูดดม จะทำให้เกิดอาการ อึดอัด หายใจไม่สะดวก เจ็บคอ ซึ่งการใส่คลอรีนในสระจะแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ

                1. ใช้คนใส่ตอนสระปิดทีเดียว ซึ่งส่งผลให้ ปริมาณคลอรีนในตอนเช้าๆ นั้นสูงกว่าตอนเย็น อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้สระคนแรกๆ และในช่วงเย็นอาจจะไม่เหลือคลอรีนแล้ว ทำให้สระอาจไม่สะอาด 

               2. ค่อยๆ ใส่ผ่านระบบหมุนเวียนน้ำในสระ ซึ่งหากใส่ในปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้สระมีคุณภาพคงที่ตลอดวัน ซึ่งปริมาณการเติมนั้นควรจะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ เช่น หากมีคนใช้สระมากในช่วงเวลานั้น สิ่งสกปรกก็มากตามไปด้วย จึงต้องเพิ่มปริมาณการเติม เพื่อให้น้ำในสระมีคลอรีนในระดับที่เหมาะสมตลอดเวลา

          นอกจากนี้ ค่า pH ยังส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อของคลอรีน ค่า pH ที่ทำให้คลอรีนที่เติมลงไปมีประสิทธภาพในการแตกตัวมากที่สุดและคงตัวในน้ำได้ดีที่สุดจะอยู่ในช่วง pH 5.5 – 9 แต่ระดับค่า pH ที่เหมาะสมของน้ำในสระว่ายน้ำควรอยู่ระหว่าง 7.2-7.8 ถึงจะสะอาดและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้สระ

             ดังนั้น AquaSense จึงถูกนำมาใช้เป็นอุปกรณ์วัดปริมาณคลอรีน และค่า pH เพื่อควบคุมคุณภาพของสระ ซึ่งปริมาณคลอรีนที่วัดได้สามารถนำไปควบคุมปริมาณน้ำที่หมุนเวียน ให้ทำงานมากน้อยตามสถานการณ์ ไม่ต้องเดินปั้มแรงตลอดเวลา ส่งผลให้ลดค่าไฟฟ้า ใช้เวลาคืนทุนในการติดตั้ง AquaSense ไม่กี่เดือน จากค่าไฟฟ้าที่ประหยัดลงได้ เป็นผลดีต่อทั้งเจ้าของและคนใช้สระว่ายน้ำ

นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีการนำ UV มาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในน้ำและถังกรองแบบดิสมาใช้ในระบบหมุนเวียนน้ำในระบบ ระบบนี้เป็นการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ ช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาความสะอาดของสระว่ายน้ำ และที่สำคัญคือไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์และไม่มีสารเคมีตกค้าง